บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน(0012006) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

9.20.2554

เมนูสลัดผัก - ผลไม้ เจ๋งกว่าที่คิด

                     


  
  สลัดผัก สลัดผลไม้ สลัดดอกไม้ สารพัดเมนูสลัด ทำให้สาวๆ สุขภาพดี พร้อมรูปร่างผอมเพรียว อย่างถูกสุขลักษณะ   
              อาหารที่คนไทยเอามาจากฝรั่ง มีผักนู่น นี่ นั่น และก็ราดด้วยน้ำสลัด ฟังอย่างนี้แล้วหลายคนร้องอ๋อได้ทันทีว่าคือ "สลัดผัก" นั่นเอง คนจำนวนไม่น้อยก็นึกถึงเมนูสลัดที่เป็นแบบนี้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาที่ใครๆ อยากไดเอ็ต แต่ทว่าสลัดไม่ได้มีดีเพียงแค่ทำให้คุณควบคุมน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังทำให้สุขภาพดีแบบถาวร หากว่ากินกันบ่อย ๆ

             "สลัดผัก" ถึงแม้ว่าอาหารจานนี้จะไม่ใช่อาหารสัญชาติไทย แต่ด้วยความที่เห็นกันมาเป็นเวลานาน ผนวกกับการรับเอาวิถีการกินแบบวัฒนธรรมตะวันตกมาตั้งแต่โบราณ ก็ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงคุ้นเคยกับเมนูจานนี้ได้ประหนึ่งข้าวกะเพราไก่ของคนไทยกันเลยทีเดียว...ว่าแต่ปกติเคยทำสลัดกินเองที่บ้านมั้ยคะ 

              เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยทำ เหตุผลที่ไม่ทำก็คงหลากหลาย เช่น เพราะไปกินตามร้านสลัดบาร์หรืออย่างเวลาที่ยืนตักสลัดที่สลัดบาร์ ผักก็มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย ถ้าต้องให้เตรียมผักเป็นสิบ ๆ อย่างแบบนั้นคงทำไม่ได้แน่ ๆ บางครั้งผักที่ใส่มาในจานก็ไม่รู้จักอีกว่าชื่ออะไรยุ่งยากหลายขั้นตอน หรือบางคนอาจจะคิดไปถึงว่าจะซื้อผักชื่อฝรั่งเหล่านั้นมาจากที่ไหน ฯลฯ เฮ้อ...แล้วเราจะทำสลัดหน้าตาน่ากินเองแบบนี้ได้อย่างไร สรุป ก็เลยไม่ค่อยคิดทำสลัดกินเองที่บ้านเลย...สักที

              แต่จริง ๆ แล้ว การเตรียมสลัด ทั้งจะทำกินกันทั้งบ้านหรือคนเดียวนั้นสะดวกกว่าที่คิด เพราะการทำสลัดก็คือ การนำเอาผักต่าง ๆ มาใส่รวมกัน แล้วก็ราดด้วยน้ำสลัดในแบบที่เราชอบเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิดใช่ไหมคะ คุณจะใส่ผักอะไรก็ได้ที่เราชอบ จะเป็นกะหล่ำ แตงกวา มะเขือเทศ เอาผักที่เรารู้จักและหาซื้อได้ง่ายนี่แหละค่ะ หรือถ้าอยากไฮโซฯ หน่อย ก็เอาผักฝรั่งมาใส่ด้วยก็ได้ไม่ผิดกระบวนการเตรียมสลัดแต่อย่างใด แต่ถ้าใครไม่ชอบผัก จะด้วยไม่ชอบรสชาติ หรือกลิ่นของผักบางชนิดก็เลือกใส่แต่ที่เราชอบก็ได้ และเพิ่มความน่ากินด้วยผลไม้เข้าไปด้วยก็ดี เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง แคนตาลูป เอาแบบหาง่ายซื้อสะดวกตามรถเข็นผลไม้ก็ได้ค่ะ เท่านี้เราก็จะได้ จานสลัดพร้อมเสิร์ฟและการันตีความอร่อยได้แล้ว

             ถ้าใครนึกสนุกอยากหยิบนู่นใส่นี่เพิ่ม เพื่อให้จานสลัดดูน่ากินยิ่งขึ้น ก็ทำได้ตามใจอีกเช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่อบฉีกเป็นเส้น หรือไส้กรอกซึ่งจะทอดหรือลวกก็ตามสะดวก หรือจะเป็นกุ้งทอด ปลาทูน่า ไข่ต้ม ขนมปังกรอบ ฯลฯ เรียกว่าชอบอะไร อยากกินอะไรเราก็ใส่รวมกับผักที่เตรียมไว้ได้ อ้อ...ผักที่เตรียมไว้ ไม่จำเป็นต้องใส่เยอะ ๆ หลาย ๆ ชนิดถึงเรียกว่าสลัดแบบครบสูตรนะคะ เอาแค่ 1-2 อย่าง เท่านี้ก็ได้ค่ะ

(ที่มา:http://women.thaiza.com)

หอมใหญ่ ดีต่อสุขภาพอย่างไร...

                              
                                         
           หอมใหญ่ ช่วยลดความดันโลหิตสูงและระดับคอเลสเตอรอล บรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ ทำลายแบคทีเรียในร่างกาย ลดภาวะอาหารไม่ย่อยและช่วยเจริญอาหาร ยังสามารถใช้เป็นยาทาภายนอก บรรเทาอาการปวดแสบ ยุงกัด ระคายเคือง และแผลไฟไหม้ได้อีกด้วยนะ
            หลายคนบอกว่า ในไวน์ มีสารพิเศษ "ฟลาโวนอยด์" ที่มีคุณสมบัติขัดขวางไขมัน ไม่ให้มาเกาะอุดตันตามผนังหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุหนึ่งอันก่อให้เกิดหัวใจขาดเลือด ทำให้คนมากมายยอมจ่ายทีละหลายร้อยหลายพัน หรืออาจเป็นหมื่นเป็นแสน ก็เพื่อเข้าร่วมขบวนการ "ดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ" ซึ่งจริงๆแล้วสารฟลาโวนอยด์ตัวนี้ ยังสามารถหาได้จากอาหารธรรมชาติอื่นๆอีกมากมายเช่น หอมหัวใหญ่นี่ล่ะค่ะ จริงๆแล้วจากสารตัวนี้นั้นมีอยู่ตามพืชผักผลไม้ธรรมชาติ ส่วนเหล้าไวน์นั้น เป็นการถ่ายโอนฟลาโวนอยด์มาจากสารให้สีในเปลือกองุ่นที่นำมาหมักไวน์ ซึ่งแปลว่าหากเราทานผักผลไม้ที่มีสารฟลาโวนอยด์สดๆก็จะได้รับสารนี้เท่าๆกัน
การทานหอมใหญ่ดิบเพียงวันละครึ่งหัวทุกวัน ต่อเนื่อง 2 เดือนก็จะช่วยลดอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้แล้ว และการทานหอมใหญ่วันละครึ่งหัวไม่ใช่เรื่องยากสักนิด หากคุณสั่งข้าวผัด ยำต่างๆ หรือสลัด ก็ได้ทานหอมใหญ่ครบสมใจแล้ว นอกจากจะมีสารไซโคลอัลลิซินซึ่งทำหน้าที่เดียวกันกับฟลาโวนอยด์แล้ว ยังมีวิตามินซีมากถึง 22 มิลลิกรัม/100 กรัมที่บริโภคสดๆ ทั้งสนนราคาก็ถูกกว่าไวน์เป็นไหนๆ ไม่ต้องเมาให้ทรมานอีกด้วย รู้อย่างนี้มาทานหอมหัวใหญ่กันดีกว่าค่ะ

(ที่มา:http://www.homedd.com/)

พริก...เผ็ด.....แต่ดีกับสุขภาพ

                                         


         พริก นอกจากใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์หลายอย่างต่อร่างกายและสุขภาพของคนเรา พริกเป็นสมุนไพร ความเผ็ดของพริกนั้นมีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหาร เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ แก้อาการเป็นตะคริวด้วยนะคะ ปัจจุบันเราจึงนำสารที่สกัดจากพริกไปผสมในยาชนิดต่าง ๆ เช่น ยาธาตุ ยาเจริญอาหาร ยาขับลม และยาแก้ปวดท้อง เพราะสารสกัดจากพริก จะไปกระตุ้นการหลั่งเอนไซม์บางชนิด ทำให้เกิดการบีบตัวและคลายตัวของกระเพาะอาหารและสำไส้ นอกจากนี้ยังนำไปผสมในขี้ผึ้งไว้ทาถูนวดเพื่อแก้อาหารปวดเมื่อย ทำให้บริเวณที่ทายามีเลือดมาเลี้ยงเพิ่มขึ้น 
          สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ได้มีบทรายงานถึงการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์กว่า 2,000 ฉบับที่อธิบายถึงคุณประโยชน์ของพริกในทางการแพทย์ รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อสุขภาพ อย่างเช่นมีรายงานหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1988 เป็นการศึกษาโดยใช้กล้องส่องเข้าไปในกระเพาะ อาหารแล้วถ่ายเป็นวิดีโอ เปรียบเทียบกัน การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าอาหารเผ็ดร้อน จากพริกไม่ทำอันตรายใด ๆ ต่อเยื่อบุกระเพาะ ขณะที่น้ำส้มสายชูก่อความระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะสำไส้ได้บ้าง ยิ่งถ้าเป็นยาแอสไพรินด้วยแล้ว จะระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะได้มากที่สุด 
          แม้จะเคยมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า พริกเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งของกระเพาะอาหารได้ แต่รายงานต่อมาก็ได้หักล้างความเชื่อนั้นลงไป จนถึงกับมีการระบุแย้งกลับไปว่า การรับประทานพริกจำนวนมากดูเหมือนจะทำให้อัตราการเกิดมะเร็งกรกระเพาะอาหารลดลงด้วยซ้ำไป 
          นอกจากนี้ พริกยังเป็นอาหารที่มีสารอาหาร มากมายอันเป็นผลดีต่อสุขภาพ เช่น วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี 1,2,3 พริกบางชนิดมี วิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งผลถึง 6 เท่า ถ้าเป็นพริกสีแดงจะมีสารพวกโปรวิตามิน มีแคโรทีน ชนิด แอลฟา เบต้า และแกมมา รวมทั้งคริบโตแซนทีน ซึ่งพวกนี้จะไปเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ที่ตับ การรับประทานแคโรทีนและวิตามินเอมาก ๆ อาจจะไปลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลงได้
การกินพริกสำหรับบางคน อาจจะเป็นเรื่องลำบาก เพราะทนความเผ็ดร้อนไม่ได้ หรือกินแล้วมีอาการแสบท้อง แต่อย่างไรก็ตามก็ควรหัดรับประทานพริกให้เป็นไว้บ้าง เพราะนอกจากจะได้รับรู้รสชาติของความอร่อยจากอาหารไทยหลาย ๆ อย่างที่ให้พริกเป็นส่วนผสมแล้ว ในเม็ดพริกเองยังมีคุณค่าทางอาหารหลายอย่าง ทั้งจากการเป็นเครื่องเทศสมุนไพรและยังอาจป้องกันโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็งด้วย

(ที่มา:http://www.homedd.com/)

9.09.2554

ผัก ผลไม้ 10 ชนิดที่ให้วิตามินซีมากกว่าส้ม

         "กินส้มเยอะๆสิ จะได้วิตามินซีเยอะๆ" เป็นคำพูดที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะเพราะรสชาติที่อร่อย หาทานง่าย ราคาถูกและสีสันสวยงาม เลยน่าจะทำให้เด็กๆทานได้ง่ายและในปริมาณมากกว่าผลไม้อื่นๆ ซึ่งจริงๆแล้ว เพราะเคยได้ยินมาบ่อยๆๆๆ ว่า "ส้มจริงๆให้วิตามินซีน้อยกว่าฝรั่งอีก" แล้วด้วยอยากกินอะไรน้อยๆแต่ได้ปริมาณมากๆ (อนึ่ง คือ ขี้เกียจ) เลยลองหาข้อมูลดู  
         จึงได้พบว่า...มีผลไม้ที่มีขายในเมืองไทยหลายชนิด ที่มีวิตามินซีมากกว่าส้มเสียอีก บางอย่างแทบจะนึกไม่ถึง เช่น พุทรา (Jujube) กลับเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีมากกว่าส้มถึง 10 เท่า!!!*
มาดูกันเลยว่า มีผัก ผลไม้อะไรบ้างที่ให้วิตามินซีมากกว่าส้ม

ตาราง แสดงปริมาณวิตามินซี (mg) ในผัก/ผลไม้ปริมาณ 100 g


ประโยชน์ของวิตามินซีกับการชลอชรา
          ช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็น และคอลลาเจนก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกายเช่นกัน 

          วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดั้งนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้




(ที่มา:http://www.108health.com/)

ผักผลไม้บำรุงผิว...

4.jpg

- ส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนวัย
- มะนาว อุดมด้วยวิตามิน ซี ที่มีประโยชน์ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างได้อีกด้วยค่ะ
- แครอท ให้คุณค่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ อาหารที่จำเป็นสำหรับผิว
- อะโวคาโด อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยบำรุงผิว การรับประทานอะโวคาโดวันละ 1 ลูก สามารถให้วิตามินอีเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันได้..
- มะเขือเทศ มีทั้งวิตามินซี และ lycopene ป้องกันผิวเสียจากรังสียูวี
- ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งมีสุขภาพดี
- กีวี ประกอบด้วยวิตามินซี ที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน กีวี จัดเป็นสุดยอดผลไม้ที่มีระดับวิตามินซีสูงที่สุดชนิดหนึ่ง เรียกว่าเกือบ 2 เท่าของวิตามินที่เราได้จาการรับประทานส้ม 1 ผลเลยทีเดียว วิตามินซีชนิดนี้มีความสำคัญต่อร่างกายมาก เนื่องจากช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซับธาตุเหล็กและโฟเลต ซึ่งเป็นสารอาหารที่ผู้หญิงต้องการมากที่สุดได้อย่างเต็มที่ และวิตามินซีนี้ยังสามารถบรรเทาอาการของโรคหวัดได้อีกด้วย "กีวีเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารมากที่สุดและมีแมกนีเซียมในปริมาณสูงที่สุดด้วยเช่นกัน แถมยังอุดมไปด้วยโปตัสเซียม วิตามินอี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไฟเบอร์ (เส้นใยอาหาร)สูง ซึ่งในกีวี 1 ลูกจะมีเส้นใยอยู่ถึงร้อยละ 16 ของปริมาณเส้นใยที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

(ที่มา:http://heyhaparty.blogspot.com/)

ผักและผลไม้ที่ผิวหน้าต้องการ


        ผักและผลไม้มีมากมายหลายชนิด ถ้าเราเลือกรับประทานให้ถูก ก็จะได้ทั้งประโยชน์ต่อร่างกายและผิวของเราด้วย เราลองมาดูกันว่าชนิดไหนบ้างที่ผิวหน้าของเราต้องการกันบ้าง 
    -ว่านหางจระเข้บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว
    -แตงกวาช่วยสมานผิว ลบรอยเหี่ยววววว ย่น
    -มะเขือเทศช่วยสมานผิว ลบรอยเหี่ยววววว ย่นและจุดด่างดำ
    -ขมิ้นสดบำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว
    -กล้วยน้ำว้าสุกบำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย
    -หัวไชเท้าช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย
    -ใบบัวบกลดรอยตีนกา
    -มะขามเปียกบำรุงผิวหน้าขาวเนียน ลดรอยฝ้าจุดด่างดำ ชำระสิ่งสกปรก
    -กล้วยหอมลดรอยเหี่ยววววว ย่น ถนอมผิวหน้าให้ชุ่มชื่น
    -ทุเรียนลดปัญหาสิวเสี้ยน
    -มะนาวลดสีเข้มของกระบนใบหน้า
    -มะม่วงสุกแก้ปัญหาฝ้าและสิว
    -มะเขือเทศรักษาสิวหัวดำ ป้องกันรูขุมขนอุดตัน ทำความสะอาดผิวหน้า
    -สับปะรดบำรุงผิวหน้าขาวใส และช่วยขจัดเซลล์ตาย ให้หลุดออก
    -แตงโมบำรุงผิวหน้าชุ่มชื่นสดใส
รู้อย่างนี้แล้ว มารับประทานผักและผลไม้เพื่อสุขภาพผิวที่ดีกันเถอะค่ะ จะได้สวยกันจากภายในสู่ภายนอกเลยค่ะ :)

เราควรกินผักและผลไม้ หลากหลายสี

เธœเธฑเธเธœเธฅเน„เธกเน‰เธฃเธงเธก.JPG

            ผลไม้หลายหลากสี นอกจากจะมีวิตามินที่เรารู้จัก โดยทั่วไปแล้ว ยังมีสารอาหาร ที่ให้ประโยชน์ในร่างกายอีกมาก ที่เรียกว่าสารเหล่านี้ว่าไฟโตนิวเทรียน(Phytonutrient ) อ้างอิงจากข้อมูล สถาบันนิวทริไลท์ อเมริกา โดยที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ทุกวันนี้เราควรได้ อาหารในกลุ่มผักและผลไม้ ไม่สมดุลย์กับที่ร่างกายต้องการ อาจจะเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่นไม่รู้หรือหาซื้อไม่ได้ ราคาแพงเกินไป แต่ในความเป็นจริงเราอาจจะหาผักและผลไม้ ในท้องถิ่น ที่อาจจะมีเฉพาะที่หรือตามฤดูกาล ซึ่งราคาถูก ก็เป็นไปได้ ในภาพที่เห็นเป็นแค่ตัวอย่างถึง สีสันของผักและผลไม้ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องซื้อตามภาพที่เห็นก็ได้  แต่ให้คำนึงถึง สีของเนื้อผักและผลไม้ ที่เรารับประทานเป็นสำคัญยกเว้นผลไม้ที่ทานทั้งเปลือกก็ดู ทั้งหมด  เช่นเงาะ เปลือกสีแดง แต่เนื้อ สีขาว หรือแคนตาลูปมีเนื้อที่เราทานตั้งหลายสี  เรามาดูแต่ละสีกันว่าสีไหนให้อะไรเราบ้าง
002.JPG

สีขาวหรือเหลือง---มาจากพืชหลายชนิด เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ แพร์ เห็ด
 ถั่วขาว
สีส้ม---มาจากผลไม้จำพวกส้ม มะนาว แครอท สับปะรด ข้าวโพด แพสชั่นฟรุ้ต มะละกอ
สีแดง---อยู่ในพืช เช่น เชอร์รี แครนเบอร์รี แอปเปิ้ลแดง ทับทิม มะเขือเทศ
สีม่วง--- จากผลไม้จำพวกพลัม บีท แบ็ลคเบอร์รี องุ่นม่วง
สีเขียว---มาจากผักหลากชนิด เช่น ปวยเล้ง บร็อคโคลี กะหล่ำดาว ผักคะน้า 
กะหล่ำปลี ผักชีฝรั่งวอเตอร์เครส ชาเขียว ถั่วเหลือง

       ผักและผลไม้ สีแดง  จะมีไลโคปีน และกรดเอลลาจิก เช่น มะเขือเทศ มีสารสำคัญที่เรียกว่า ไลโคปีน( Lycopene ) อยู่มาก  ไลโคปีน ในมะเขือเทศมีคุณสมบัติ ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น (Oxidation) ของแอลดีแอล(LDL) โคเลสเตอรอล ในหลอดทดลอง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ  ถ้าทานไลโคปีนในรูปมะเขือเทศสด 20-150 กรัม ลดการเกิดออกซิเดชั่น ของโปรตีน ไขมันและสารพันธุกรรม(DNA) ช่วยลดความเสื่อมต่างๆได้ ทานกันได้ทุกวันเพราะราคาไม่แพง แต่บางฤดูกาล ก็แพงเหมือนกัน เวลาจะซื้อก็ หยิบเอาเท่าที่ต้องการแล้วกัน  ในผลทับทิมดูส่วนที่รับประทานนะคะ มีกรดเอลลาจิก(Ellagic Acid)และกรด แกลลิก(Gallic Acid)

ประโยชน์ของ กรดเอลลาจิก
1.มีประระสิทธิภาพของการต้านอนุมูลอิสระของน้ำทับทิมมากกว่า น้ำชาเขียวและไวน์องุ่นแดง2-3 เท่า
2.ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล และแอลดีแอล แต่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
3. น้ำทับทิมมีคุณสมบัติในการลดระดับความดันโลหิตสูง
      สรุปประโยชน์ของกลุ่มผักและผลไม้สีแดงช่วยส่งเสริมสุขภาพของเชล ต่อมลูกหมาก หลอดเลือด ภูมคุ้มกัน และสุขภาพของดีเอ็นเอ(DNA)
      อย่างไรก็ตาม จากคำประกาศขององค์การอนามัยโลก ก็น่าใจหายและเป็นห่วง เพราะว่าผลสำรวจออกมาว่า ทุกคนควรรับประทานผักผลไม้ 400 กรัมต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์เพียงพอ 
ทว่าผลการสำรวจล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนไทยรับประทานผักผลไม้เพียงวันละ270 กรัมต่อวัน ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน
(ที่มา:http://www.kruopakkad.com/)

ประโยชน์ของผักแต่ละสี



            ผักเป็นอาหารมากคุณค่า อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนานาชนิด ช่วยปกป้องเราจากโรคร้ายต่างๆ ผักที่เรากินทุกวันนี้แบ่งได้ 5 กลุ่มใหญ่ๆ ตามเม็ดสี ซึ่งให้คุณประโยชน์แตกต่างกันไป เราควรจึงกินผักให้ได้หลากหลายสีในแต่ละวันเพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าสารอาหารเต็มที่
ผักสีแดง เช่น พริกแดง มะเขือเทศ เกิดจากเม็ดสีในกลุ่ม ไลโคฟีน ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างการ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง
ผักสีส้ม สีเหลือง มาจากเม็ดสีกลุ่ม แคโรทีนอยด์ วิตามินเอ วิตามินซี ช่วยบำรุงสายตาทำให้มองเห็นได้มีในตอนกลางคืน ป้องกันโรคต้อกระจก บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ผักสีส้มและสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท
ผักสีเขียว เช่น ผักใบเขียวต่างๆ มาจากกลุ่มเม็ดสีที่ชื่อว่า คลอโรฟิลล์ และสารประเภทอื่นๆ ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็มเอไม่ให้ถูกทำลายจนกลายเป็นเนื้อร้าย รักษาหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของร่างกายและช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อ ผลเสียต่อสุขภาพบำรุงสมองและความจำ และบำรุงสุขภาพผู้สูงอายุ
ผักสีขาว สีน้ำตาลอ่อน มาจากเม็ดสีกลุ่ม แอนโทแซนทิน ผักในกลุ่มนี้เช่น กระเทียม หอมหัวใหญ่ เห็น เซเลอรี มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล ต่อต้านการเกิดเนื้องอก ป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจ ต้านการติดเชื้อ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเสริมภูมิคุ้มกั

คะน้า เมนูของคุณผู้หญิง


           คะน้า หรือ Chinese Kale ผักใกล้ตัว ที่มักเห็นเป็นจานผัดประจำบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคะน้าน้ำมันหอย คะน้าหมูกรอบ คะน้าปลาเค็ม หรือราดหน้า ที่หากขาดคะน้าแล้วถือว่าหมดอร่อยกันเลยทีเดียว คะน้าดีอย่างไร และทำไมจึงเหมาะกับคุณผู้หญิง รู้ไหมว่าคะน้ามีวิตามิน C สูงมากกว่าส้มอีกนะ และเจ้าวิตามิน C นี้เองจะช่วยป้องกันหวัด แถมทำให้ผิวสวยอีกด้วยเพราะวิตามิน C จะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื่นนั่นเอง ยังไม่พอ คะน้ายังอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งมะเร็งอีก แม้จะนำคะน้าไปปรุงผ่านความร้อนก็ยังคงคุณค่านี้เอาไว้ แถมใบคะน้ายังมีแคลเซียมสูง จากกงานวิจัยของ Robert P.H. (1990) ได้ศึกษาการดูดซึมแคลเซียมของร่างกายพบว่า ร่างกายเราสามารถดูดซึมแคลเซียมจากคะน้าได้ไม่น้อยกว่าแคลเซียมจากนม


         ข้อแนะนำในการล้างคะน้า 
ใบคะน้ามันจะมีไขสีเทาเคลือบไว้ บางคนคิดว่าเป็นยาฆ่าแมลง แต่ไขขาวๆนี้แท้จริงแล้วเป็นสารธรรมชาติของคะน้าเอง ไม่มีพิษมีภัยแต่จะซึมซับเอาละอองยาฆ่าแมลงไว้อย่างดี ดังนั้นเมื่อล้างคะน้า จึงต้องลูบเอาไขที่เคลือบนี้ออกไปด้วยนะคะ หรือจะใช้เกลือ+ผงฟูสักช้อน เหยาะน้ำส้มสายชูหน่อย ผสมในน้ำล้างคะน้าก็จะทำให้คราบไขนี้ออกได้ดี อากาศเย็นๆแบบนี้ถือว่าเป็นหน้าของคะน้าราคาถูก เหมาะจะซื้อหาทำเมนูคะน้าเพื่อสุขภาพกัน

(ที่มา:http://www.homedd.com/)

กะหล่ำปลีต้านมะเร็ง


         ขึ้นชื่อว่าเป็นผักแห่งวิตามินซี ไม่มีใครไม่รู้จักกะหล่ำปลี เพราะผักรูปร่างกลมๆแน่นๆ มีทั้งสีเขียว สีขาว และสีม่วงชนิดนี้ มีสารต้านมะเร็งมากมาย ผลวิจัยกว่า 10,000 ชิ้นกล่าวว่า การบริโภคกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้ง/สัปดาห์ ลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายลงถึง 66% ทานกะหล่ำปลีปรุง(สุก)วันละ 2 ช้อนโต๊ะป้องกันมะเร็งในช่องท้อง และทานกะหล่ำปลีสดดีกว่ากะหล่ำปลีสุกอีกด้วย นายแพทย์ ลี วัตเทนเบิร์ก ศาสตราจารย์ด้านสรีระวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย มินิโซต้า ได้ทดลองให้หนูกินพืชตระกูลกะหล่ำ แล้วจึงฉีดสารก่อมะเร็งเข้าไปในตัวหนู พบว่าหนูส่วนใหญ่ไม่เป็นมะเร็ง ดร.โทมัส เคนส์เลอร์ แห่งมหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปส์กิน สกัดสาร Dithioliones จากกะหล่ำปลีฉีดเข้าไปในหนูทดลอง แล้วฉีดสารก่อมะเร็งตาม พบว่าสารก่อมะเร็งลดความแรงลงถึง 90% นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในประเทศนอร์เวย์และอื่นๆที่ให้ผลตรงกันว่า สารในกะหล่ำปลีสามารถป้องกันและลดความรุนแรงของมะเร็งลำไส้ได้เป็นอย่างดี
        นอกจากนี้กะหล่ำปลียังมีสารต้านการอักเสบของแผลในกระเพาะและลำไส้อีกด้วย แนะนำให้ทานกะหล่ำปลีสดดีที่สุดค่ะ แต่ต้องล้างให้สะอาดทุกครั้ง กะหล่ำปลีช่วยปกป้องเฉพาะมะเร็งสำไส้เท่านั้น ควรรับประทานสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในรูปของสลัดหรือผักสด จึงถือว่าเพียงพอ รู้อย่างนี้แล้วอย่าเมินกะหล่ำปลี ที่วางเคียงจานยำอีกเลยนะคะ
      ข้อควรระวัง ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ ไม่ควรทานกะหล่ำปลี เพราะกะหล่ำปลีมีสารที่ลดระดับไทรอกซีนในเลือดได้ หากรับประมานนานติดต่อกันถึง 60 วัน

(ที่มา:http://www.homedd.com/)